วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

การเพาะพันธุ์ปลาแบบบ้านๆ

     ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบเลี้ยงปลา บ้านผมมีบ่อปลาเป็นบ่อดิน มีอยู่ 3 บ่อ ส่วนมากแม่ไม่ค่อยเลี้ยงปลาหรอกครับ ปล่อยตามมีตามเกิด ได้มาจากทุ่งมั้ง ซื้อมาปล่อยมั้ง ผมเลยมองว่าเรามีแหล่งรายได้ทำไมเราไม่ทำให้มันเกิดผลดีกว่าปล่อยทิ้งไว้เฉยๆเพราะมันน่าจะทำรายได้ให้เรามากกว่านั้น ปลาที่มีส่วนมากมาจากธรรมชาติ เลยทำให้บ่อปลาที่บ้านมีปลาหลายสายพันธุ์นั่นก็ร่วมเจ้าปลากินปลาด้วยกันอย่างเจ้าปลาซ่อน มันทำให้ปลาในบ่อลดลง วันหนึ่งผมเกิดอยากเลี้ยงปลาทับทิมขึ้นมา ผมเลยไปฟาร์มเพาะพันธุ์ปลา ซื้อปลาทับทิมมาเลี้ยง จากที่ซื้อมา ประมาณ 500 ร้อยตัว ผมมานับดูแล้วหายไปเกินครึ่งเพราะเจ้าอสูรดำอย่างเจ้าปลาซ่อนนี่แหละที่เลี้ยงกินลูกปลาผม สุดท้ายเหลือรอดจนโตน่าจะร้อยกว่าตัว วันหนึ่งผมก็เห็นเจ้าปลาทับทิมของผมเกิดลูก แล้วก็เห็นเจ้าปลาซ่อนคอยจ้องจะกินลูกปลา แม่ปลาก็เข้ามาไล่ แต่มันมากันเยอะกว่าเลยสู้ไม่ไหวแม่ปลาก็อมลูกปลาไว้ส่วนหนึ่งแล้วว่ายหนีไปผมคิดว่ามันไม่รอดแน่ ผมสังเกตุหลายครั้งแล้วว่าทำไมปลาที่เกิดแล้วโตเองในธรรชาติมีโอกาสรอดน้อยและมีน้อย เพราะปกติปลาเกิดลูกทีเป็นร้อยแล้วไม่ได้เกิดแค่ตัวเดียว แต่กับไม่ค่อยเห็นลูกปลาเลย ก็เพราะเจ้าปลากินปลาด้วยกันนี้แหละครับ ผมคิดว่ามันต้องสูญพันธุ์หมดแน่ แทนที่จะมีลูกเจ้าชุดต่อๆไปไว้กิน ผมเลยเกิดไอเดียขึ้นมา ผมมีวงบ่อซีเมนต์อยู่ ผมจัดการไปหาที่ตักมาตักลูกปลามาลองอนุบาลดู สรุปแล้วมันรอดเกินคาดไว้ครับ พอโตพอที่ลูกปลาจะเอาตัวรอดได้ผมก็ปล่อยลงบ่อเหมือนเดิม 
     สูตรอาหารลูกปลาที่ผมใช้อนุบาลลูกปลาง่ายครับๆ รำละเอียด ข้าวหุ่งแล้ว ไข่ต้ม(เอาเฉพาะไข่แดงนะครับ) ส่วนปลาแห้งป่นละเอียด หรือวิตามิน ใครจะใส่เสริมก็ได้ครับ วิธีทำก็ง่ายๆ เอาข้าวหุ่งไปแช่น้ำประมาณ 20-30 นาที นำมาคลุกกับรำละเอียด ปลาแห้งป่น แล้วก่อไข่แดงต้มแล้ว คลุกให้เข้ากัน แล้วปั้นเป็นก้อนๆ เท่าลูกแก้ว แล้วนำไปหยอดลงที่มุมบ่ออนุบาลลูกปลา อย่าใส่เยอะนะครับ เพราลูกปลาจะกินไม่หมด จะทำให้น้ำเสียเร็ว สังเกตง่ายๆใส่ไปก่อนหนึ่งลูก ถ้าลูกปลากินหมด ก็ลองอีกลูก ถ้าลองใส่ลูกที่ 3 แล้วลูกปลากินไม่หมดก็ให้ใส่แค่ 2 ก็พอครับ ไม่ต้องตกใจนะครับถ้าลูกปลาที่ตักมาไม่กินไรเลย บางทีลูกปลาที่ตักมาอาหารที่ติดมากับท้องเค้าอาจยังไม่หมดเพราะลูกปลากเกิดใหม่ๆจะมีถุงอาหาร เพราะลูกที่เราตักมาอาจจะเพิ่งเกิดเพราะลูกปลาเพิ่งเกิดจะมีถุงอาหารติดมาด้วยตรงหน้า ถ้าเป็นลูกปลาที่ถุงอาหารตรงหน้าท้องหมดไปแล้วแต่ไม่กินอาหาร เพราะอาจจะยังตกใจอยูครับ วันแรกอย่าเพิงให้อาหารนะครับเพราะลูกปลาจะยังไม่กินอาหาร พอวันที่ 2ค่อยให้ครับ ลงไปก่อนลูกหนึ่ง เพราะลูกปลาจะยังไม่รู้ว่านี่คืออาหาร พอวันที่3 ก็สามารถทำตามสูตรได้เลยครับ ว่าลูกปลาปริมาณเท่านี้จะกินอาหารกี่ก้อน อาหารไม่ควรทำทิ้งไว้ข้ามคืนนะครับ การกินอาหารเร็ว มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการปรับตัวของลูกปลาด้วย ขึ้นอยู่กับสภาพน้ำด้วยครับ ส่วนมากเปอร์เซ็นการตายจะน้อยครับ ต้องควบคุมอย่าให้น้ำเสียครับ พอลูกปลาโตมาได้สักระยะ ให้แยกขนาดลูกปลาเป็น 2บ่อครับ เพราะปลาจะโตไม่เท่ากัน ปลาตัวใหญ่กว่าจะแย้งปลาตัวเล็กและไม่ให้ปลาตัวเล็กเข้ามากินอาหารครับ ควรทำการคัดขนาดด้วยเมื่อปลาโตแล้ว อย่างน้อย 2หรือ3บ่อก็ได้ครับ พอปลาได้ขนาดก็สามารถนำไปปล่อยในบ่อดินได้เลยครับ เพราะปลาที่โตแล้วส่วนมากจะเอาตัวรอดในธรรมชาติได้ครับ ถ้าเราทำอย่างนี้เราจะมีปลาไว้กินในบ่อไปอีกนานโดยที่เราไม่ต้องไปซื้อกับฟาร์มครับ ลองทำดูนะครับ นำไปปรับเปลี่ยนลองดูหลายๆวิธีก็ได้ครับ แล้วนำมาแชร์กันครับจะได้เป็นประโยชน์หรืออาจจะเป็นประโยชน์กับคนที่เค้าอยากทดลองดูครับ

วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

การเพาะเห็ดนางฟ้าต้นทุนต่ำ

 การเพาะเห็ดนางฟ้าด้วยการใช้ฟางข้าว 

   การเพาะเห็ดเป็นสิ่งที่ผมชอบ และก็ตั้งใจไว้ว่าอยากมีฟาร์มเห็ดน้อยๆเป็นของตัวเอง ผมได้ไปเข้าร่วมโครงการฝึกอบรมเพาะเห็ดมา มีเห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดขอน เป็นต้น ส่วนที่ผมสนใจคือ ทำยังไงถึงจะช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ เพาะปัจจุบันราคาขี้เลื่อยไม้ยางพารามีราคาค่อนข้างสูงขึ้น และรวมถึงค่าขนส่งที่แพงขึ้นตามราคาน้ำมัน จึงเป็นอีกหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้ผลิตเห็ดขายบางรายต้องหยุดการเพาะชั่วคราว ผมไปค้นหาข้อมูลมาได้จากเว็บแห่งหนึ่งแต่ผมจำไม่ได้ว่าจากเว็บไหน เค้าบอกว่าฟางข้าวก็สามารถนำมาเพาะเห็ดนางฟ้าได้เช่นกัน ผมเลยนำข้อมูลนี้มาทดลอง ตามสูตรที่ผมลองปรับเปลี่ยนต่างจากต้นฉบับนิดนึง ภาพที่เห็ดเป็นชุดแรกที่ผมได้ลองทดสอบดู ชุดสองผมไม่ได้ถ่ายรูปไว้ ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้นำภาพมาเสนอตามขั้นตอน ไว้มีโอกาสทำอีกผมจะนำภาพมาให้ชมนะครับ 
   ขั้นตอนและอุปกรณ์วัสดุที่ต้องใช้มี มีด เขียงไม้ หรือท่อนไม้ก็ได้ ถังหมัก ถุงทนร้อน 8x12 หรือ 7x13 ก็ได้ครับ ผมลองทั้งสองตามในรูปเลย คอขวด ฝาจุก สำลี ถังนึ่ง 200 ลิตร เชื้อเห็ด แอลกอฮอล์ เหล็กหรือไม้ก็ได้ไว้เขี่ยเชื้อเห็ดใส่ในถุง  รำระเอียด 6 ก.ก(รำสามารถใส่เยอะกว่่านี้ได้นะครับเพราะมันเป็นอาหารเสริมของเห็ดอย่างดีเลย)  ยิปซัม 2 ขีด ดีเกลือ 2 ขีด ปูนขาว 1 ก.ก  ฟางข้าว 100 ก.ก ส่วนผสมก็เหมือนกับทำด้วยขี้เลื่อยทุกอย่างครับ  ขั้นตอนการเพาะเริ่มจาก นำฟางข้าวมันหันเป็นชิ้นเล็ก ยิ่งเล็กยิ่งดีครับเวลาอัดก้อนจะทำให้ง่ายและจะได้ก้อนเห็ดที่แน่น ผมหันประมาณ 2-3 เซนฯ พอหันเสร็จก็นำฟางไปแช่น้ำสะอาดไว้ประมาณ 12-24 ชั่วโมง ไม่ต้องแช่นานก็ได้ครับบางคนกลัวฟางข้าวแห้งเกิน เห็ดจะไม่ออกดอก ไม่ต้องกลัวครับเพราะเวลาเรานำไปนึ่งฟางข้าวจะเริ่มอมน้ำเองในตัวแบบไม่ต้องรอนานเหมือนตอนแช่ครับ แล้วถ้าแช่นานเกินไป เวลานำไปนึ่งสงเกตุได้เลยครับจะมีน้ำออกมาเยอะมากทำให้ก้อนเพาะใช้ไม่ได้ครับความชื้นเยอะไป เชื้อจะไปเดินครับ ความชื้นต้องพอประมาณครับ หลังจากที่แช่เสร็จ ก็นำมาผสมกับส่วนผสมให้เข้ากัน มี ปูนขาว ยิปซัม ดีเกลือ รำละเอียด คลุกให้เข้ากัน ทิ้งไว้สัก 15-20 นาที จากนั้นก็นำมาบรรจุใส่ลงถุงที่เตรียมไว้ ก่อนใส่ถุงให้สงเกตุปริมาณความชื้นด้วยนะครับอย่าให้เยอะจนเกินอย่างที่ผมบอก อัดถุงให้แน่นเพราะฟางข้าวจะอัดยากกว่าขี้เลื่อยครับ เวลานำไปนึ่งก็จะยุบตัวลงอีก จากนั้นก็นำคอขวดมาใส่ ยัดสำลี ปิดฝาจุก พอเสร็จหมดแล้วก็นำไปนึ่งในถังนึ่ง ถังนึ่งควรทำที่วางก้อนเห็ดด้วยเพื่อที่เราจะใส่น้ำลงไป ปิดฝาถัง นำไปตั้งเตาไฟ ฝาถังต้องมีที่ระบายความดันประมาณ 1-2 รู ไม่งั้นมันจะระเบิดครับ นึ่งด้วยอุณหภูมิ 100  องศา 3 ชั่วโมง  จากนั้นก็ทิ้งไว้หนึ่งคืน รอให้เย็น แล้วก็นำมาหยอดเชื้อเห็ด สถานที่หยอดเชื้อควรอยู่ในที่ๆไม่มีลมพัดเพื่อป้องกันสปอร์เชื้อราอื่นที่ปลิวมาตามลมตกใส่ ผมแนะนำการมุงเลยครับ แต่มุงต้องสะอาดปราศจากเชื้อราด้วยนะ เอาสำลีชุบแอลกอฮอล์ แล้วนำไม้หรือเหล็กเขี่ยมาเช็ดทำความสะอาดก่อนนำมาเขี่ย พอเขี่ยเสร็จ ให้จุกสำลีไว้ แล้วนำไปเก็บในโรงปมเชื้อเห็ด รอการเปิดดอก พอเชื้อเห็ดเดินเต็มถุง ประมาณ 1 เดือนก็สามารถนำไปเปิดดอกได้เลย ผลผลิตอาจจะน้อยกว่าการเพาะด้วยขี้เลื่อย แต่ต้นทุนก็ถูกกว่าเยอะครับ ก้อนเห็นที่หมดสภาพนำไปตากให้แห้งแล้วนำไปนึ่งฆ่าเชื้อเสร็จก็สามารถนำมาเพาะเห็ดฟางต่อได้เลยครับ ประโยชน์ 2 ต่อเลยครับ ลองไปทำดูนะครับได้ผลยังไงบอกด้วยนะครับ ยินดีให้คำแนะครับ

วันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2556

จุดเริ่มต้นของความพอเพียง

 จุดเริ่มต้นของความพอเพียง  

การเพาะเห็ดสิ่งที่ผมสนใจมากในการทำเกษตรพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพ่อหลวง สิ่งแรกที่ผมกลับไปบ้านแล้วได้ลองผิดลองถูกหาข้อมูลไปเรื่อยๆคือการเพาะเห็ด ผมได้ลองเพาะเห็ดฟางจนผมได้มาเจอการเพาะเห็ดฟางในตะกร้าที่ใช้เวลาทำไม่มากนัก และขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยากเท่าไหร่ ผมว่ามันน่าจะโอเคมาก สูตรที่ได้มาก ผมนำมาปรับใช้ให้เข้ากับวัสดุอุปกรณ์ที่พอหาได้ในฟื้นที่ๆผมอยู่   ผมลืมบอกไปอย่างหนึ่ง พระเอกของเราก็คือเจ้าฟางข้าวมันสามารถนำไปเพาะเห็ดนางฟ้าได้ด้วยแต่ผลผลิตอาจจะได้น้อยกว่าการเพาะด้วยขี้เลื้อย แต่ต้นทุนจะถูกกว่าเยอะครับ ถ้าบ้านใครปลูกข้าวด้วยละก็สบายเลย ไม่ต้องได้ซื้อ จริงๆก็หาเก็บเอาตามทุ่งที่ชาวนาเก็บเกี่ยวแล้ว ถ้าเค้าจะเผาทิ้งก็ไปขอเค้าเลย ฟางที่หมดสภาพจากการเพาะเห็ดนางฟ้าสามารถนำมาเพาะเห็ดฟางต่อได้
ประหยัดคูณสองเลยครับ แต่ขั้นตอนอาจจะไม่เหมือนกันเพราะ ฟางที่หมดสภาพจากการเพาะ จะยังมีเชื้อราของเห็ดนางฟ้าและเชื่อราอื่นๆอยู่ เราต้องนำไปตากแดดแรงๆสักหนึ่งวันก่อน หรือไม่ก็นำไปนึ่งด้วยอุณหภูมิร้อยองศาประมาณ 2-3 ชั่วโมงแล้วก็รอให้เย็น ก็สามารถนำไปทำตามขั้นตอนได้เลย  เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าตามสูตรฉบับผมนะครับ ขั้นตอนแรกต้องนำฟางข้าวมาหันประมาณ 20 เซนติเมตร นำฟางข้าวที่หันแล้วไปแช่น้ำ น้ำที่นำมาแช่จะต้องเป็นน้ำสะอาด ไม่ควรใช้น้ำประปาเพราะมันมีคลอลีน เราจะใส่น้ำหมักชีวะภาพหรือน้ำจุลินทรีย์ลงไปในน้ำด้วย อัตราของผมน้ำ 10 ลิตรต่อน้ำหมักหนึ่งแก้ว แช่ไว้หนึ่งคืน วัสดุอื่นที่ต้องเตรียมก็มี แ้ป้งข้าวเหนียว รำละเอียด เชื้อเห็ดฟาง ผักตกชวา(ไม่มีไม่เป็นไร) มูลสัตว์แห้ง เช่นหมู วัว ควาย ไก่ นก ค้างคาว เป็นต้น (เอาที่เราหาได้ตามฟื้นที่ครับ) อุปกรณ์ก็มีตะกร้า กะละมัง บัวรดน้ำ  ถ้าทุกอย่างพร้อมก็เริ่มจากเอาฟางที่แช่ไว้ขึ้นมากองไว้ จากนั้นเราก็มาเตรียมเชื้อเห็ด เชื้อเห็ดจะมาในรูปแบบเป็นก้อนอยู่ในถุง นำมาขยำฉีกออกเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำแป้งข้าวเหนียวมาผสมคลุกให้เข้ากันใส่พอประมาณนะครับ ต่อไปเราก็ไปเตรียมอาหารเสริมกัน เอามูลสัตว์แห่งทำให้มันละเอียดด้วยการบดก็ได้ทุบก็ได้พอได้แล้ว เราก็นำรำละเอียดมาผสมกับมูลสัตว์ให้เข้ากัน ถ้ามีผักตบชวาก็ให้นำมาหันเป็นท่อนเล็กประมาณ 1-2 เซนฯแล้วนำมาคลุกกับมูลสัตว์ที่ผสมกับรำแล้ว ส่วนผสมอย่างครึ่งต่อครึ่งก็ได้ครับ สูตรผม  จากเราก็ไปเอาฟางยัดลงไปในตะกร้าให้ได้ระดับครวามสูงประมาณ 5-6 เซนฯ จากนั้นก็ใส่อาหารเสริมที่เราเตรียมไว้แล้วลงไปในตะกร้าจะใส่เต็มหน้าเลยก็ได้ แต่ผมไม่แนะนำเพราะสิ้นเปลืองครับ ผมจะใส่จากขอบตะกร้าเข้ามาประมาณ 6-7-8 เซนฯความหนาของอาหารเสริมประมาณ 2 เซนฯ จากนั้นก็โรยเชื้อเห็ดที่ผสมแป้งข้าวเหนียวแล้วลงในตะกร้า อย่าโรยตรงกลางนะครับโรยตรงขอบๆตะกร้าบนอาหารเสริมไม่ต้องหนามากนักเอาให้พอดีครับ จากนั้นก็เพิ่งอีกสองชั้น (แล้วแต่ความสูงของตะกร้าด้วยนะครับ) (ป.ล.ผมลืมบอกไปว่าเวลาเอาฟางยัดลงไปให้กดลงให้แน่ๆด้วยนะครับ)  ชั้นสุดท้ายเราจะรวยอาหารเสริมให้เติมหน้าตะกล้าเลย และเชื้อเห็ดด้วย เพาะชั้นสุดท้ายเห็ดจากออกข้่างบนเป็นส่วนมากครับ ก็จะโรยชั้นสุดท้ายผมแนะนำให้เอาน้ำที่เราแช่ฟางไว้นำมารดให้พอดีๆก็ประมาณหนึ่งบัวรดน้ำขนาดกลางจากนั้นค่อยโรยเชื้อลงไปแล้วรดน้ำอีกนิดหนึ่งอยากเยอะนะครับ พอทำได้ตามจำนวนตะกร้าแล้วให้เราน้ำไปใส่ไว้ในโรงเพาะเห็ด โรงเพาะต้องคุมด้วยพลาสติกอย่าให้อากาศเข้าเด็ดขาด ควรมีอุณหภูมิอย่างน้อย 35องศา อย่าเกิน 40 องศา ถ้าไม่มีโรงเพาะก็หาสุ่มไก่ที่ไม่ใช้ก็ได้ครับ สุ่มหนึ่งจะใส่ได้ประมาณ 3 ตะกร้า แล้วก็คุมด้วยพลาสติก นำไปไว้ใต้ต้นไม้ที่มีแดดส่องถึงก็ได้ครับแต่ต้องดูอุณหภูมิด้วยนะครับ เพราะสำคัญมากในการเกิดดอกเห็ด ข้อควรระวังครับสถานที่เก็บตะกร้าควรปรอดแมลงจำพวกปลวก มด เป็นต้น สำคัญมาก ลองๆทำดูนะครับ ผิดพลาดอะไรก็ขออภัยนะครับเพราะผมลองมาแล้วและได้ผมจริง ส่วนใครอยากลองไปปรับใช้ดูได้ครับ ปรับเพิ่มลงตามปริมาณได้ครับ สูตรไม่ได้ตายตัว ลองผิดลองถูกไป ทุกอย่างคือการเรียน อยู่ที่เราจะเรียนกับมันไหม มีไรที่ผมพอแนะนำหรือนำผมได้ก็แสดงความคิดเห็นได้นะครับ




ธรรมชาติสวยงามเสมอ




ข้าวมันไก่


ข้าวมันไก่

  เป็นอาหารที่อร่อยและทานง่าย ทานได้ทุกวัย เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมอยากทำ ผมอยากมีร้านอาหารเล็กๆ อยู่ที่บ้าน อยากทำเป็นธุระกิจครอบครัว ร้านของผมมีเมนูที่คิดไว้ก็หลายอย่าง เช่น ต้มยำกุ้ง (กุ้งผมว่าจะเลี้ยงเอง) อยู่บ้าน ข้าวมันไก่ (ไก่ก็เลี้ยงเอง) พัดกระเพราะกุ้ง หมู ไก่ พัดผักคะน้าหมูกรอบ ประมาณนี้
และอีกสองอย่างต้องทำคู่ๆกันก็ขายน้ำผลไม้ปั่น และไอศครีมกระทิสด ร้อนๆอย่างนี้ เด็กๆกับผู้ใหญ่คงจะชอบทานกัน ^^

ธรรมชาติ

  ธรรมชาติ คนเราส่วนมากรู้จักคำนี้ดีแต่มักไม่รู้ความหมายของมัน คนเราชอบทำร้ายธรรมชาติ โลกร้อนขึ้นเพราะฝีมือมนุษย์ เพราะสิ่งที่มนุษย์สรา้งขึ้นมามันได้ทำร้ายธรรมชาติของมนุษย์เองรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตอย่างอื่น ปัจจุบันนี้ธรรมชาติ เปลี่ยนไปเยอะ ร้อนขึ้นมั้ง ฝนตกหนักจนน้ำท่วมมั้ง มันไม่ใช่ภัยจากธรรมชาติหรอก แต่เป็นฝีมือของมนุษย์เรานี่แหละที่ไปทำร้ายสมดุลของธรรมชาติ ธรรมชาติถึงเปลี่ยนไป มาเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติกันเถอะครับ